Friday, February 21, 2014

Smart's Stories มียอดเข้าชมครบ 20,000 ครั้ง และบันทึกขวบปีแรกของการวิ่ง

วันนี้มีการเข้าชมบล็อค Smart's Stories  ครบ 20,000 ครั้ง ขอขอบคุณเพื่อนๆ และผู้สนใจทุกท่าน ที่แวะผ่านเข้ามาชม เข้ามาอ่าน และหวังว่าบันทึกของผม จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคน ในการเปลี่ยนชีวิตด้วยการออกไปวิ่งด้วยกัน 

ผ่านปีแรกของการวิ่ง ที่เริ่มต้นซ้อมครั้งแรกในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ได้ประสบการณ์ต่างๆ เยอะมากจริงๆ จากการซ้อมวิ่งครั้งแรกที่เหนื่อยจนต้องวิ่งช้าๆ สลับเดินในช่วงท้ายๆ หรือมีอาการบาดเจ็บไปหลายรอบ แต่มิตรภาพในวงการนักวิ่ง บรรยากาศงานวิ่ง มันประทับใจ บอกตัวเองว่าคงจะไม่กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ที่ไม่ค่อยออกกำลังกายอีกแล้ว

ภาพประทับใจจากงานวิ่งของปีแรก (ขอบคุณภาพจาก ShutterRunning.com)

มีเพื่อนๆ นอกวงการวิ่งหลายคนถามว่า รูปวิ่งรายการสวยๆ ผมได้มายังไง ก็เล่าอีกครั้งละกัน คือจะมีช่างภาพมืออาชีพพร้อมอุปกรณ์ครบครัน จากเว็บ Shutter Running (www.shutterruning.com) ไปถ่ายภาพนักวิ่งแทบจะทุกคนที่เก็บภาพทัน ส่วนมากจะอยู่ใกล้ๆ ก่อนถึงเส้นชัย หรือในจุดที่ถ่ายภาพได้สวย แล้วก็จะแต่งภาพให้สวยงามใส่โลโก้ของงานวิ่งปีนั้นๆ ก่อนจะอัพโหลดให้นักวิ่งเข้าไปชม และสามารถเลือกซื้อภาพผลงานได้ ทั้งแบบซื้อไฟล์ (ราคาถูกที่สุด) ไปจนถึงอัดภาพใหญ่ใส่กรอบ เพื่อแขวนผนังให้ภูมิใจเมื่อมอง

สรุปปีแรกของการวิ่ง (เฉพาะวิ่งรายการ):

มินิมาราธอน: 17 ครั้ง
ฮาล์ฟมาราธอน: 5 ครั้ง
มาราธอน: 1 ครั้ง
ระยะอื่นๆ: 7 ครั้ง

รวม 30 ครั้ง


เหรียญและเบอร์วิ่งจากงานในปีแรก

ถ้าถามว่าเหรียญอันไหนสวยที่สุดหรือชอบที่สุด ตอบไม่ลังเลเลยว่า งาน Adidas King of the Road 2013 นอกจากเหรียญแล้ว เบอร์วิ่ง (BIB) และการจัดงานในทุกๆ ด้าน ก็ยังดีที่สุดของปีเลยก็ว่าได้

เหรียญที่ระลึกจากงานวิ่ง เป็นเพียงสิ่งเตือนว่าเราเคยร่วมรายการวิ่งไหนมาบ้าง นานๆ ไปก็คงจะมีเหรียญเยอะมากขึ้นจนคงจะจำไม่ได้ว่าวิ่งไปกี่งาน แต่สิ่งที่จะติดอยู่กับเราคือ สุขภาพที่ดีนั่นเอง

ส่วนสถิติที่ทำได้ดีที่สุดในปีแรกคือ

มินิมาราธอน: 54:02 นาที (จากครั้งแรก 1:23 ชั่วโมง)
ฮาล์ฟมาราธอน: 1:59 ชั่วโมง (จากครั้งแรก 2:30 ชั่วโมง)
มาราธอน: 4:19 ชั่วโมง

ปีที่ 2 ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะพยายามเปลี่ยนท่าทางการลงเท้า เพื่อให้ไม่บาดเจ็บอีกต่อไป แต่ตอนที่เขียนบล็อกนี่ อาการเจ็บหน้าแข้งจากจอมบึงมาราธอนก็ยังไม่หายดี 5555+ และจะพยายามทำเวลาในระยะต่างๆ ให้ดีขึ้น 

มินิมาราธอน: 50 นาที
ฮาล์ฟมาราธอน: 1:55 ชั่วโมง
มาราธอน: 4:10 ชั่วโมง

จะลองดู ^^

Monday, February 17, 2014

พันท้ายนรสิงห์ มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 15

จากที่คิดว่าเดือนกุมภาพันธ์ จะวิ่งฮาล์ฟ 3 รายการ แต่อาการบาดเจ็บหน้าแข้งซ้ายยังไม่หาย (แถมไปซ้ำที่งานไบเทค ฮาล์ฟมาราธอนอีก) เลยขอพักต่อดีกว่า งานนี้ขอพาลูกชายไปวิ่งมินิ เพราะมั่นใจว่าอากาศดีแน่ อยากให้เค้าได้สัมผัสบรรยากาศแถวนาเกลือ ป่าโกงกาง

งานนี้ถือเป็นงานแรกที่ไปแต่ไม่ได้วิ่ง พาเจ้าเมฆไปวิ่งแทนพ่อ เราเตรียมตัวกันเหมือนทุกครั้ง คือนอนหัวค่ำ และตื่นราวๆ ตี 3:15 นาที กินขนมปังเนยถั่ว โกโก้ร้อน นม (คุยกับพี่ๆ น้องๆ นักวิ่งหลายคน บอกว่าวิ่งมินิหรือฮาล์ฟ กินรองท้้องกันน้อยมาก หรือไม่กินเลยก็มี!!!) ผมศึกษาเส้นทางจนจำได้ ก่อนออกจากบ้าน เวลาและเส้นทางค่อนข้างเป๊ะ (แต่ก็ไปกลับเกือบ 80 กม.เหมือนกัน) เราไปถึงงานราวๆ ตี 5 มีเวลาสมัครและดูนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนปล่อยตัว การจัดการได้มาตรฐาน ที่จอดรถเหลือเฟือจริงๆ แต่บริเวณจัดงานค่อนข้างจำกัดเล็กน้อย (ลานหน้าพระอุโบสถ)


บรรยากาศในงานตอนที่เรามาถึง นักวิ่งเป็นพันคนแล้ว

ผู้ประกาศบอกว่าวันนี้ท่านรักษาการรัฐมนตรีคมนาคม รศ.ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มาถึงแล้ว จะร่วมวิ่งรายการมินิมาราธอน!!!! อาห์ งานนี้คงจะเป็นรายการวิ่งมินิมาราธอนที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพีสินะ 5555+


จังหวะดีขอถ่ายภาพกับอาจารย์ชัชชาติ

มีคนบอกว่า ท่านชัชชาติไม่ได้มาลงวิ่งงานพันท้ายนรสิงห์ มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน แต่เพราะท่านมาวิ่งแถวนี้ งานวิ่งพันท้ายนรสิงห์ มินิ-ฮาล์ฟมาราธอน จึงเกิดขึ้น 5555+ ก็ฮากันไปครับ

จังหวะดีหลังจากที่ปล่อยตัวระยะฮาล์ฟมาราธอนตอน 5:30 น. ตรงเป๊ะ ไปขอถ่ายภาพกับอาจารย์ชัชชาติ (ผมมักจะเรียกคนที่เป็นอาจารย์ว่าอาจารย์ แม้หลายคนจะอายุน้อยกว่า เพราะผมถือว่าอาชีพครูนั้นมีเกียรติ เป็นอาชีพสร้างคน) ท่านเป็นกันเองมาก ถามเมฆว่าเรียนที่ไหนชั้นอะไร โตขึ้นอยากเป็นอะไร มีคนขอถ่ายภาพด้วยเยอะเลย ... ผมแอบหวังว่าบ้านเมืองเราจะมีนักการเมืองดีๆ มีความสามารถ ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติโดยไม่หวังกอบโกย และเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ออกลายทีหลัง


ก่อนปล่อยตัวระยะฮาล์ฟมาราธอน

จากนั้นก็ให้เมฆจ๊อกและยืดเหยียด เสร็จแล้วถึงเวลาเช็คอินเข้าคอกปล่อยตัวพอดี นักวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอน น่าจะสัก 700 คน ส่วนระยะมินิน่าจะพันกว่าคน งานนี้ไม่มีชิพจับเวลา แต่ดูทีมงานก็คุ้นๆ หน้า เคยเห็นมาแล้วหลายงาน


เตรียมปล่อยตัว

เวลา 6:02 นาที เสียงแตรลมปล่อยตัวมินิก็ดังขึ้น ไม่ถึงนาที ก็ตามด้วยฟันรัน แล้วจากนั้น บริเวณงานก็เงียบลงอีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกได้สัมผัสบรรยากาศงานวิ่งแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา ผมคือหนึ่งในนักวิ่งที่วิ่งกันออกไป แล้วกลับมาอีกครั้งในเวลาราวๆ 1 ชั่วโมงหรือกว่านั้นถ้าว่ิงระยะฮาล์ฟมาราธอน

ท้องฟ้าครึ้มฝนมากๆ มีเมฆฝน มีลมพัดเย็นเอื่อยๆ ไม่มีแดดเลย ดีสำหรับนักวิ่งมากๆ อากาศแบบนี้


ท่าหล่อเค้าเลย (ขอบคุณภาพจากโปรตุ้ม ShutterRunning.com)

สักพักนึง นักวิ่งฟันรัน ก็เริ่มทยอยกลับกันเข้ามา ตามด้วยนักวิ่งฝีเท้าจัดในระยะมินิมาราธอนกลุ่มอายุต่างๆ ผมได้เห็นวิธีการแจ้งกลุ่มอายุ การมอบป้ายคล้องคอสำหรับคนที่ได้ถ้วยในระยะต่างๆ ได้เห็นสีหน้าคนเก่งๆ วิ่งเข้าเส้นชัย ดูแล้วก็เพลินดี 


วินาทีก่อนเข้าเส้นชัย

เขาทรายวิ่งเข้าเส้นชัยเวลา 44 นาทีกว่าๆ คนนี้ความเร็วไม่เคยตก แล้วเกือบ 1 ชั่วโมงตอนที่ผมกำลังคุยกับเขาทราย เจ้าเมฆ ก็วิ่งเข้าเส้นชัย ถ่ายภาพตอนจะลอดซุ้มเส้นชัยพอดี เวลา 57:27 นาที ถือว่าเป็นเวลาดีที่สุดสำหรับระยะมินิที่เมฆวิ่งได้ (แต่ระยะจริง 9.80 กม. ก็ขาดไปหลายร้อยเมตร)


 นาเกลือ สิ่งที่เราจะไม่มีวันเห็นในรายการวิ่งกลางเมือง (ขอบคุณภาพจากครูแสง Patrunning.com)

จากนั้นก็คุยกับลูกตอนยืดเหยียด และไปหาอะไรกินกันหลังวิ่ง เมฆคุยไม่หยุด ประทับใจเส้นทางวิ่งได้สูดอากาศดีๆ เห็นป่าโกงกาง แต่ก็บอกว่าสะพานข้ามคลองเยอะ ส่วนนาเกลือจะอยู่ในเส้นทางฮาล์ฟมาราธอน

สภาพเส้นทางวิ่ง ถนนราดยางสลับถนนคอนกรีต (ขอบคุณภาพจากครูแสง Patrunning.com) 

สะพานข้ามคลอง มีตลอดเส้นทาง (ขอบคุณภาพจากครูแสง Patrunning.com)

อาหารการกินมีให้เลือกเพียบเหมือนหลายๆ งาน มีก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มปลา กระเพาะปลา หอยทอด ลอดช่อง สองพ่อลูกกินไปคุยกันไป มีพี่ๆ น้องๆ ที่คุ้นเคยมาคุยกัน ก่อนที่จะถ่ายรูปกันอีกครั้งก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน


เต๊นท์อาหาร กับเมนูหลากหลาย

จัดเต็มหลังวิ่งจบ อิ่มท้องสบายใจก่อนกลับบ้าน



บริเวณงาน ดูชาวบ้านๆ ดี แต่อบอุ่นเป็นกันเอง (ขอบคุณภาพจากครูแสง Patrunning.com)


จุดสตาร์ท-เส้นชัย ช่วงท้ายๆ งาน ยังมีนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนเข้ามาเรื่อยๆ (ขอบคุณภาพจากครูแสง Patrunning.com)

โดยรวม งานนี้จัดได้ดีมีมาตรฐาน ป้ายบอกทางมางานจากถนนพระราม 2 และข้อมูลที่ให้ในเน็ตดี ปล่อยตัวตรงเวลา เส้นทางวิ่งดี (แต่ไม่ได้ปิดการจราจร 100%) การจัดการดี อาหารดี ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากไป คิดว่าปีหน้าคงมากันอีกครับ


อีกหนึ่งเหรียญของเจ้าเมฆ



Tuesday, February 11, 2014

BITEC Half Marathon 2014

ยังจำได้ว่าตอนเริ่มวิ่งรายการครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว คือ 6th Cancer Care Charity Fun Run ซึ่งเป็นงานที่จัดวันเสาร์ มีน้องๆ ในชมรมวิ่งคนเก่งน้าดอนหลายคนบอกว่า วิ่งแค่ 5 กม. (2 รอบสวนลุม) พอ เพราะวันต่อไปมีงาน BITEC Half Marathon 2013

ก็เลยคิดว่า ไว้คงจะได้วิ่งที่งานไบเทคกะเค้ามั่ง เพราะหลังจากนั้นก็ได้กระแสตอบรับดี ได้ข่าวว่าจัดงานดี ปิดถนนดี ที่จอดรถเยอะ (ก็น่าจะยังงั้นนะ เพราะเป็นถึงศูนย์การประชุม หรือศูนย์แสดงสินค้าระดับประเทศ)

กราฟิกประชาสัมพันธ์ รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก


ปีนี้พอได้ข่าวจากเว็บ PatRunning กับ Jog & Joy ก็เลยไม่ลังเลที่จะสมัคร (และได้รับเมล์ยืนยัน) ตั้งแต่ก่อนไปวิ่งมาราธอนที่จอมบึงอีก แต่จะวิ่งฮาล์ฟเลยดีกว่า เพราะเส้นทางน่าจะดี แล้วก็สมัครระยะมินิมาราธอนให้เจ้าเมฆด้วย


การเตรียมงานพร้อมตั้งแต่วันเสาร์ และป้ายประชาสัมพันธ์อลังการ

ทางผู้จัดงาน ให้ไปรับเบอร์ เสื้อ และอื่นๆ (เรียกรวมๆ ว่า Race Kit) ในช่วงวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ แต่ด้วยระยะทางจากที่ทำงานไปไบเทคไม่ใช่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่ได้ขับรถมาทำงาน เลยคิดว่าไปวันเสาร์ดีกว่า รถไม่น่าจะติดมากด้วย

พอไปถึงที่ไบเทคก็สะดุดตาด้วยป้ายประกาศสวยงามตรงทางเข้าหลัก และที่ตัวอาคาร รวมทั้งซุ้มสตาร์ทและเส้นชัย ก็เสร็จเรียบร้อย เหลือแต่เวทีหลักที่ยังเห็นประกอบกันอยู่ ส่วนเจ้าหน้าที่ รปภ. ก็คงได้รับข้อมูลมาพร้อม เพราะทุกคนแนะนำได้ชัดเจนว่า บู๊ทรับของอยู่ที่ไหน


ตรวจสอบหมายเลข และรับ Race Kit แบบสบายๆ และรวดเร็ว

ใช้เวลารับของแป๊บเดียว คนน้อยมาก ดูด้วยสายตาเดาว่าคงรับกันไปเยอะตั้งแต่สองวันแรกแล้ว สิ่งที่ต้องชมทีมงาน Joy & Joy อีกครั้งคือ เบอร์วิ่ง (BIB) ทำได้สวยงาม มีพิมพ์ธงชาติของนักวิ่ง และมีชื่อนามสกุล และครั้งนี้อีกเช่นกันที่ชิพจับเวลา เป็นแถบติดอยู่ด้านหลังของ BIB ซึ่งต่างจากของ Championchip ที่จะติดไว้ที่เชือกรองเท้า

ชุดเก่งสำหรับรายการนี้ มาในธีมสีฟ้า ต้อนรับรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ Brooks PureFlow 3


คืนก่อนวิ่ง ก็บอกเจ้าเมฆให้เข้านอนเร็วหน่อย เพราะต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 3 นิดๆ เพื่อที่จะกินมื้อเช้ารองท้อง และเพื่อจะได้ไปทันเวลาปล่อยตัวสำหรับระยะฮาล์ฟ 


ตื่นเช้า ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ เมฆกินขนมปังทาเนยถั่ว 2 แผ่น กล้วยหอม 1 ลูกโตๆ และโกโก้ร้อน ส่วนผมขนมปัง 2 แผ่น กับ Bake Bean ตามด้วยกาแฟร้อน 1 แก้ว กับกล้วยหอมอีกลูก เราออกจากบ้านตามเวลา และไปถึงไบเทค จอดรถเรียบร้อยตั้งแต่ 4:20 น.

บรรยากาศตอนมาถึง มีนักวิ่งเริ่มวอล์มในโถงใหญ่ อากาศเย็นสบายไม่อบอ้าว

ที่งานเริ่มคึกคักแล้ว มีการแสดงบนเวที เป็นการโซว์กลองซินธิไซเซอร์ นักวิ่งก็มากันหลายร้อยคนแล้ว บางส่วนเริ่มวอล์มกันในโถงของอาคารใหญ่ ห้องน้ำก็มีพอเพียง


ผมเริ่มจ๊อกและยืดเหยียดตอน 4:40 น. ยังไม่ทันเครื่องร้อนดี พิธีกรก็เรียกเข้าเช็คอิน สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน มีนักวิ่งราวๆ 700 คน (ตามประกาศ) ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เจ้าเมฆต้องวิ่งมินิคนเดียว ไม่มีพ่อคอยแนะนำ แต่เชื่อว่าจากประสบการณ์มินิ 6-7 งานมาแล้ว ก็น่าจะสามารถวิ่งตามแผนได้ไม่ยาก

ช่วงไม่ถึงนาทีก่อนปล่อยตัว


เรายืนอยู่ในคอกปล่อยตัวเกือบ 10 นาที ผมยืนอยู่ช่วงกลางๆ ค่อนไปทางท้ายของกลุ่มนักวิ่ง ไม่เคยยืนข้างหน้าเหมือนกัน กลัวขวางพวกขาแรง แล้วก่อนเสียงแตรลมปล่อยตัวดังสักครึ่งนาที มีการตีกลองแบบจีนจากน้องๆ ที่ทีมงานเตรียมกันมา ทำให้คึกคักดี แล้วก็ได้สัญญาณปล่อยตัว ได้เวลาสนุกอีกแล้วสิ!

ปล่อยตัวกันแล้ว ตี 5 ตรงเป๊ะ (ขอบคุณภาพจากน้าแพท PatRunning)

กดปุ่ม Run บน app Nike+ Running เรียบร้อยตอนผ่านซุ้มปล่อยตัว แล้วกดนาฬิกาเริ่มจับเวลา แต่พอวิ่งไปสัก 100 กว่าเมตรเริ่มเอะใจ เพราะลืมไปว่า ตอนที่มันหาดาวเทียมไม่เจอ เราไปกดบอกว่าเราอยู่ในร่ม Indoor มันก็เลยไม่จับสัญญาณเลย แล้วก็เพราะยังไม่คุ้นวิธีใช้งาน (ขี้เกียจ ว่างั้นเหอะ) เลยใช้วิธีปิดแล้วเปิดใหม่ กว่าเจ้า Garmin จะยืนยันรับสัญญาณได้และกดเริ่มวิ่ง ก็วิ่งไป 750 เมตรละ ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องวิ่งขึ้นสะพานเกือกม้ากลับรถพอดี ตอนนี้ทุกคนยังแรงเยอะ ไม่เห็นมีใครเดิน พอวิ่งถึงช่วงลงสะพาน หลายคนเร่งสปีดกันใหญ่ ส่วนผมขอวิ่งตามถนัด คือวิ่งเพสเดียวให้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะบอกตัวเองว่ายังไม่หายสนิทจากอาการเจ็บหน้าแข้งซ้าย ที่เดิม ที่เกิดในช่วงท้ายของการซ้อมก่อนจอมบึงมาราธอน และเจ็บจริงตอนจบจอมบึงมาราธอน


ผมนึกว่าเราจะกลับตัวแล้ววิ่งที่ถนนเลียบเส้นทางหลัก แต่กลายเป็นว่า เค้าปิดถนนขาออกของเส้นหลัก บางนา-ตราด กันเลย เรามีถนนกว้าง 6 เลน วิ่งแบบไม่มีรถแม้แต่คันเดียว นี่มันสวรรค์ชัดๆ
ผ่านไปราวๆ 2 กม. กลุ่มนักวิ่งก็เริ่มวิ่งตามเพสตัวเองแล้ว จะมีแซงคนอื่นบ้างหรือโดนแซงบ้างประปราย เพสผมตอนนั้นอยู่ราวๆ 5:20 นาที/กม. ยังถือว่าเร็วไปหน่อย สำหรับสภาพที่ไม่ได้ซ้อมวิ่งเลย 3 สัปดาห์ และมีอาการบาดเจ็บ แต่ก็ปั่นจักรยานเพื่อเรียกเหงื่อมาตลอดในช่วงสองสัปดาห์หลัง

ผมแวะจุดบริการน้ำดื่มทุกจุด ซึ่งมีบริการทุก 2 กม. ต้องชมว่างานนี้ผู้จัดเตรียมได้ดี ระยะใน Nike+ Running กับป้ายบอกระยะเริ่มเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ได้ นั่นก็เพราะเราวิ่งกันใต้ทางยกระดับเกือบตลอดเวลา

ที่ 8 กม. เห็นรถนำขบวนวิ่งสวนมา ตามด้วยนักวิ่งเคนย่า 2 คน สาวเท้ายาวๆ ไล่กันสวนกลับมาแล้ว กับนักวิ่งเคนย่าอีกคนในระยะห่างกันราว 20 เมตร ผมมั่นใจว่า พวกนี้ถ้าไม่หิวข้าวก็อยากเข้าห้องน้ำ ถึงได้รีบวิ่งกันนัก

วิ่งบนถนนตรงๆ ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก แต่ดีที่ไม่ต้องห่วงเรื่องรถ และอากาศดีกว่าวิ่งในเมืองอย่างที่สวนลุม ทำให้ 10 กม. แรกผ่านไปแบบสบายๆ ที่ความเร็วเฉลี่ยมาอยู่ที่ 5:40 นาที/กม. ซึ่งไม่เร็วหรือช้าไป


แถวนักวิ่งแปรขบวนออกตรงทางแยกเพื่อขึ้นสะพานกลับรถอีกครั้ง หลายคนเริ่มเดินขึ้นเพื่อเก็บแรง ส่วนผมยังวิ่งขึ้นไปได้จนถึงปลายสุด เครื่องเกือบฮีทเหมือนกัน 5555 แล้วเราก็แยกออกซ้ายเพื่อวิ่งลงสะพานเข้าไปในอิเกีย ยังจำได้ว่าตอนมาครั้งล่าสุด เมกะบางนายังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำไป ทางลงค่อนข้างชัน ถ้าใครก้าวเท้ายาวคงมีเข่าพันกันแน่ๆ เลยมีแต่คนก้าวสั้นๆ ลงสะพานกัน

อากาศแถวนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะเป็นพื้นที่โล่ง นักวิ่งขาแรงกลุ่มแรกๆ เริ่มวิ่งกลับสวนออกมายเยอะแล้ว บอกตัวเองว่า เราวิ่งสปีดนี้สบายดี ไม่อยากเจ็บจนต้องเดิน จนมาถึงจุดกลับตัว เจ้าหน้าที่โบกให้วิ่งผ่านเครื่องเช็คเวลา ที่งงคือ มีแจกยางหนังสติ๊กที่ผูกด้ายสีไว้อีกเหมือนงานวิ่งเล็กๆ เพราะจริงๆ วิ่งผ่านเครื่องบันทึกเวลาแล้ว ก็ไม่น่าจะมาแจกยางหนังสติ๊กอีก

ที่จุดกลับตัว มีน้ำ มีเครื่องดื่มเกลือแร่ มีกล้วยน้ำว้าที่ปอกไว้เรียบร้อยเรียงสวยงาม และมีแตงโมที่หวานฉ่ำมาก เสียดายผมหยิบแตงโมชิ้นเดียว แล้วเดินตรงไปหยิบน้ำดื่มเลย แต่ปกติก็ไม่ค่อยยืนกินอะไรที่จุดบริการน้ำนานๆ อยู่แล้ว จากนั้นทิ้งแก้วกับยางหนังสติ๊กในถุงดำ แล้วก็ออกวิ่งกลับ

ช่วงวิ่งขึ้นสะพานกลับรถเจอนักวิ่งกลุ่มหลังตามมาเยอะเลย คิดในใจว่า ถ้าวิ่งความเร็วนี้ผลออกมาก็คงอยู่ในช่วง 200-300 คนแรก หรือราวๆ กลุ่ม 30-50% เหมือนทุกงาน หน้าแข้งขวาเริ่มเจ็บมากขึ้น บอกตัวเองให้พยายามนึกถึงเรื่องอื่นๆ และใช้สมาธิกับการฟังเพลง ทิ่เปิดเพลงของ T-Square มาตั้งแต่ก่อนปล่อยตัว

ช่วงกม. 12-15 สามารถรักษาความเร็วไว้ได้ดี ไม่เร่งและไม่ผ่อน จังหวะหายใจปกติไม่เหนื่อยหอบ และมีแรงมากขึ้นเมื่อวิ่งมาเจอกับนักวิ่งระยะมินิมาราธอนกลุ่มหลังๆ ที่เกือบทุกคนจะเดินมากกว่าวิ่ง

จากช่วงกม. 16-20 พยายามมองกลุ่มนักวิ่งฮาล์ฟ ที่เพสใกล้ๆ กัน แต่อยู่ห่างกันหลายสิบเมตร แทรกอยู่ในกลุ่มคนที่เดินคุยกันสบายๆ หลายร้อยคน แต่ไม่ได้ขวางทาง เพราะว่าถนนกว้างมากๆ พยายามรักษาความเร็วให้ได้คงที่ ฟังเสียงจาก Nike+ Running บอกความเร็วเฉลี่ย ถือว่ายังทำได้ดี ต้องชมเชยผู้จัดงานอีกครั้งว่า น้ำดื่มที่จุดสุดท้ายยังมีเหลือเฟือ แม้น้ำแข็งจะหมดก็ตาม

ช่วงท้ายๆ เหนื่อย ไม่ทันสังเกตใคร แจงเก็บภาพนี้มาให้ก่อนขึ้นสะพานเกือบม้ากลับตัวเข้าไบเทค

ช่วงสุดท้าย กลับตัวและวิ่งขึ้นสะพาน ตอนนี้รู้ตัวว่าความฟิตจากการซ้อมช่วงก่อนหน้านั้น หมดแล้ว เพราะเมื่อยต้นขาจนรู้สึกได้ แต่ก็ยังวิ่งช้าๆ ขึ้นสะพานได้จนถึงโค้งและเนินทางลงสะพาน พยายามวิ่งทางซ้ายสุด เพราะกลุ่มคนเดินหลายร้อยคนอยู่ฝั่งขวากันหมด

วิ่งลงสะพานช้าๆ และดูจังหวะที่เจ้าหน้าที่ปล่อยรถจากเส้นเลียบทางด่วน แต่การจัดการเค้าดีนะ พอช่วงปล่อยรถ ก็จะให้เราวิ่งยาวตรงๆ ไปก่อน แล้วค่อยวิ่งตัดข้ามถนนเป็นชุดใหญ่ๆ พร้อมๆ กัน ไม่เสียเวลาเหมือนตอนรอข้ามสี่แยกในหลายๆ งาน

วิ่งเข้าไบเทค เห็นโปรรุจน์ตรงปากประตูพอดี เลยฉีกตัวออกทางขวา ก็คงได้ภาพดีๆ มาให้อุดหนุนกันอีกแน่ๆ ก่อนจะเร่งความเร็วในช่วงราวๆ 100 เมตรสุดท้าย เหยียบพรมแดง เข้าเส้นชัย กดหยุดเวลาที่นาฬิกา


กระดาษรายงานผลที่น้องเจ้าหน้าที่ส่งมาให้ เข้าท่าดี วิ่งจบรู้เลย

สตาฟมาแกะชิพจับเวลาออกจากเบอร์ รับเหรียญทอง แล้วก็มัวสาละวนกับการหยุดเวลาใน Nike+ Running ไม่ทันมองว่ามีน้องสตาฟมายืนดัก ยื่นแผ่นกระดาษที่ดูเหมือนใบเสร็จให้ เล็งอยู่นานเพราะสายตายาวถึงรู้ว่าได้ผลการแข่งขันเดี๋ยวนั้นเลย บ๊ะ! เข้าท่าดี นึกๆ อยู่ว่า ถ้านักวิ่งระยะฮาล์ฟเข้าพร้อมกันหลายๆ คน เค้าจะพิมพ์และแจกผลกันทันหรือเปล่า (มาทราบทีหลังว่าไม่ทัน แล้วนักวิ่งก็ไม่รู้ด้วยว่ามีแจก เดินเลยกันไปหลายคน)


พ่อกับลูก เก็บได้อีกคนละเหรียญ ได้ช่วยการกุศล และได้สุขภาพ

เดินไปรับเครื่องดื่มเกลือแร่กับขาเขียวอีกขวด (ครั้งนี้พกเจลไป 2 ซอง แต่ไม่ได้ใช้) ต่อด้วยยืดเหยียดช่วงขาและน่องที่ตึงใช้ได้เลย หน้าแข้งซ้ายเจ็บกว่าเดิมแต่ยังเดินได้เกือบปกติ ผมกวาดตามองรอบๆ ก็เจอเจ้าเมฆยืนอยู่ไม่ไกล เข้าไปกอดไหล่ลูกและถามผลการวิ่ง เมฆทำได้ดีกว่าที่ผ่านๆ มา แต่ก็ยังไม่พอที่จะคว้าถ้วยสักใบ แม้จะมีนักวิ่งรุ่นอายุเดียวกันเพียง 9 คนก็ตาม ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง กินมาหมดเกือบทุกซุ้มแล้ว!!!

อากาศยังไม่ร้อนมาก ถ่ายรูปสวย

หลังจากต่อแถวรับข้าวไก่เทอริยากิอร่อยๆ และดูการรับถ้วย จึงได้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กๆ รุ่นอายุเดียวกันกับเมฆนั้น เป็นเด็กๆ สังกัดชมรมวิ่ง ทุกคน คงจะแนวๆ ล่ารางวัลแน่ๆ

บรรยากาศเวทีกับการมอบรางวัล งานนี้อาหารเครื่องดื่มเพียบเลย ผมเลือกข้าวไก่เทอริยากิ อร่อย

งานนี้เจอน้องๆ หลายคน ทั้งจากชมรมวิ่งคนเก่งน้าดอน ตั้งแต่ตอนเข้าเส้นชัย และนุกกับแจง น้องที่รู้จักสนิทกันกันมาทักทายและคุยกันพักใหญ่ช่วงกินข้าว (จะเชียร์ไปมาราธอนให้ได้เลยสองคนนี้)  และแนม ที่มาเจอกันตอนกำลังจะกลับบ้าน จริงๆ งานนี้มีเพื่อนๆ นักวิ่งที่เป็นเพื่อนใน FB หลายคนที่มาวิ่ง แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงกันเลยไม่คุ้นหน้า อีกหน่อยคงได้ทักทายกันทั้งงาน 5555

นุกกับแจง ในที่สุดก็เจอน้องสองคนนี้ในงานวิ่ง อีกภาพคือแนม เจอกันเกือบทุกงาน

สรุปแล้วงานนี้จัดได้ดีสมราคา ที่จอดรถ การรับเบอร์ BIB สวย ปล่อยตัวตรงเวลา นักวิ่งเยอะ การบริการน้ำ เครื่องดื่ม และผลไม้พอเพียงทุกจุด เส้นทางดี การปิดถนนดีเยี่ยม

ถ้าจะมีข้อแนะนำ คิดว่าอาจจะสามารถรับจำนวนนักวิ่งได้เพิ่มขึ้นอีกเหมือนที่พิธิกรก็เกริ่นๆ ไว้เหมือนกัน เพราะอาจจะลดราคาค่าสมัครลงมาได้อีกสักหน่อยนะ




สถิติของรายการนี้ วิ่งจบระยะทาง 21.8 กม. ด้วยเวลา 2:07:25 ชั่วโมง (Net Time) (2:07:43 ชั่วโมง Gun Time) ความเร็วเฉลี่ย 5:52 นาที/กม. ได้อันดับ 57 ของรุ่นอายุ 40-49 ปี (ชาย) และได้อันดับ 206 จาก 623 (Overall)

ถือว่าได้เวลาตามมาตรฐานของตัวเอง ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป เพราะคิดไว้ก่อนวิ่งว่า จะจบก่อนเวลา 2:08 ชั่วโมง