Tuesday, April 29, 2014

เย็นวันเสาร์ – เช้าวันอาทิตย์

บันทึกของนักวิ่งและนักเดินทาง ที่เรียนตัวเองว่า นักวิ่งทาง โดยคามิน คมนีย์ ... สารคดีรางวัลยอดเยี่ยม นายอินทร์อะวอร์ด 2547



ก่อนนั้นเคยพยายามหาแหล่งซื้อหนังสือมือสองอยู่หลายเดือน จนแล้วจนรอดหาไม่ได้ แต่แล้วในที่สุดหนังสือตีพิมพ์ครั้งที่ 2 และผมไม่รีรอที่จะสั่งซื้อล่วงหน้า ... พร้อมลายเซ็น

หนังสือมาถึงมือช่วงกลางเดือนมีนาคม แต่ยังอยู่ในซองพลาสติกจนเกือบจบเดือนเมษายน พอได้มาจริงๆ กลับรออีกเดือนเศษถึงจะได้พลิกหน้าแรก


ปกหน้าและปกหลัง


ใช้เวลาช่วงว่าง พักกลางวัน บนรถประจำทาง ในรถไฟฟ้า และหลังวิ่ง รวมทั้งอ่านเป็นหนังสือก่อนอนให้ลูกฟัง ซึ่งคงต้องเริ่มอ่านใหม่แต่ต้นอีกครั้ง ท่าทางเจ้าตัวเล็กจะชอบ คงเพราะคล้ายประสบการณ์ที่ผมก็ไปวิ่งหลายๆ งานในช่วงปีที่ผ่านมา แม้จะไม่เดินทางไปทุกภาคอย่างผู้เขียน นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่หนังสือเล่มนี้ถูกใช้เป็นหนังสือก่อนนอนสำหรับเด็กอายุเกือบ 10 ปี ก็ได้มั้ง

ชื่อหนังสือ สื่อถึงสิ่งที่ผู้เขียนเคยทำในช่วงปี 2546 คือการตะเวณเดินทางไปทุกภาคของไทย เพื่อร่วมรายการวิ่ง เย็นวันเสาร์ สำหรับนักวิ่งแล้วมันคือเย็นที่จะต้องเตรียมตัวและใจให้พร้อม และควรจะไปถึงหรือใกล้สถานที่วิ่ง สำหรับการวิ่งในรุ่งเช้าของวันอาทิตย์

นักวิ่งเตรียมพร้อมร่างกายก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นในตอนเช้ามืด

น่าจะถือว่านักวิ่งคือกลุ่มคนที่โชคดีกลุ่มหนึ่งบนโลกใบนี้ ที่ได้มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นจากสถานที่ต่างกัน ได้สัมผัสอากาศเช้า เสียงนกออกหากิน เสียงจักจั่นปลายฤดูร้อน เสียงจิ้งหรีดริมทาง สิ่งที่ยากนักที่จะได้รับรู้ธรรมชาติเหล่านี้ หากไม่ได้เป็นคนตื่นเช้า และยังได้เรียนรู้ถึงคำว่าการเดินทาง ในอีกความหมายของนักวิ่ง ที่มีวิถีเรียบง่ายทั้งการกินอยู่ คล้ายเป็นการจาริกของผู้แสวงบุญ แอบคิดว่าสักวันจะลองสะพายเป้ใบเล็กๆ เดินทางแบบนั้นดูบ้างสักปีละครั้งสองครั้ง คงได้ซึมซาบความรู้สึกได้ดีขึ้น

ภาพดวงอาทิตย์ขึ้น ไม่เคยซ้ำสถานที่ สร้างความประทับใจเสมอ

จุดกลับตัวที่ครึ่งทาง

ผ่านไปวันกว่าๆ ก็อ่านจบ บอกตัวเองว่า หนังสือขนาด 232 หน้าเล่มนี้ เป็นงานเขียนที่น่าอ่านหลายๆ รอบ ชอบคำโปรยจากนักวิ่งระดับโลกที่เริ่มแต่ละบท แต่ที่ขอบกว่าคือการใช้คำสละสลวยคล้องจอง ที่ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป แถมมีจุดหักมุมเล็กๆ ในบทที่คิดว่าน่าจะเป็นการสรุปเมื่อผู้เขียนวิ่งได้ครบหนึ่งปีพอดี พร้อมกับข้อคิดต่างๆ มากมายที่เป็นประโยชน์สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่ และหลายอย่างน่าจะดีสำหรับนักวิ่งที่มีประสบการณ์แล้ว แต่สิ่งที่หวังกว่านั้นคือ หนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ไม่เคยวิ่ง ได้หันมาลองออกกำลังกายด้วยการวิ่ง มาลองดูว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงหรือเปล่า

บรรยากาศการมอบเหรียญหลังจบการแข่งขัน

นักวิ่งมีความคิดความรู้สึกหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน ความมุมานะตั้งใจ การตั้งเป้าหมายแล้วพยายามฝึกตนเพื่อไปให้ถึง ความเหนื่อยล้า ความเบื่อหน่าย การบาดเจ็บ ผมเองก็เคยไปงานวิ่ง แต่ไม่ได้วิ่งมาแล้ว 2 ครั้ง (เพราะอาการบาดเจ็บ) เคยเจ็บจนต้องเดินเกือบครึ่งระยะทางของการแข่งขันมาแล้ว ถูกคนที่เราเคยแซง แซงผ่านเราจนเหลือเกือบเป็นคนสุดท้ายมาแล้ว มันไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ แต่มันเพียงเป็นการเข้าเส้นชัยหลังคนอื่น และเพิ่มเวลาให้เราได้มองทิวทัศน์สองข้างทางนานขึ้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คือประสบการณ์ที่น่าจดจำ


ตัวอย่างจากหนังสือ

นักวิ่งทุกคนคือผู้ชนะ เมื่อวิ่งผ่านเส้นชัย เพราะตลอดระยะทางการแข่งขัน ไม่มีใครช่วยเรานอกจากตัวเอง ด้วยแรงขา แรงกายใจของเราเอง กำลังใจจากเพื่อนร่วมเส้นทางสำคัญเสมอ และแม้จะเข้าเส้นชัยคนสุดท้าย ก็ยังเป็นผู้ชนะอยู่ดี ชัยชนะที่ไม่มีใครมาแย่งไปจากเราได้ ไม่ว่าจะเป็นเพียงรายการวิ่งระดับท้องถิ่น หรือรายการระดับประเทศก็ตาม

แนะนำหนังสือเล่มนี้อีกแรงครับ

หมายเหตุ: ภาพประกอบ (นอกจากหนังสือ) มาจากงาน อบจ.สิงห์บุรี ฮาล์ฟมาราธอน ครั้งที่ 20 วันที่ 27 เมษายน 2557

No comments: