Goggle Map และ Google Street View
ข้อมูลของรายการนี้มีค่อนข้างน้อย การประชาสัมพันธ์ก็เพียงผ่านเว็บ PatRunning และ ShutterRunning และเส้นทางวิ่งที่แสดงไว้ตอนแรกก็คลาดเคลื่อนไปเยอะ แต่ด้วยที่ระยะทางวิ่งมันเท่ากับระยะซ้อม ผมก็เลยติดต่อผู้จัดตามโบรชัวร์ที่ได้มา และไปลงเส้นทางใน Google Map อีกครั้ง เพื่อดู Street View สองข้างทาง พบว่างานนี้น่าสนใจมาก เพราะดูเป็นธรรมชาติดี (ที่สำคัญคือ วิ่งซ้อมคนเดียวมันน่าเบื่อ) งานนี้ผมนัดกับพี่ที่ที่เคารพคนนึง รู้จักกันมาสิบกว่าปี แต่ไม่เคยวิ่งด้วยกัน ดีใจที่พี่เค้าจะมาวิ่งฮาล์ฟด้วย (และเป็นรายการแรกของพี่เค้า) แบบนี้ไม่เหงาแน่
จากการสำรวจเส้นทางด้วย Google Street View พบว่ามีสะพานข้ามคลองเยอะมากๆๆๆๆ เรียกว่านับกันไม่หมด และจากประสบการณ์ ผมบอกกับตัวเองว่า งานนี้มีเมื่อยเข่าเมื่อยสะโพกหลังวิ่งจบกันแน่ๆ
การจัดงานแบบง่ายๆ ผู้คนยิ้มแย้มทักทาย อากาศดีมาก แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
ผมมาถึงงาน ที่ร้านครัวพ่อกำนันซีฟู๊ดตั้งแต่ 4:30 น. อากาศเย็นจนหนาว มีลมพัดเบาๆ และด้วยการเป็นที่โล่งๆ ทำให้อากาศดีมาก อุณหภูมิ 22 องศา แต่ความรู้สึกเหมือนกับสัก 18 องศาหรือต่ำกว่านั้นเลย ผมหายใจเต็มปอด มีนักวิ่งมาสมัครกันไม่น้อยแล้ว รถก็จอดกันสบายๆ
บรรยากาศรับสมัคร และก่อนการปล่อยตัวนักวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอน
พี่ชายผมมาในธีมสีเขียวมะนาว ทั้งเสื้อและรองเท้า ส่วนผมเสื้อกับรองเท้าสีส้ม 5555
ผู้ประกาศบอกว่ามีความจำเป็นต้องเลื่อนการปล่อยตัวสำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอนจาก 05:30 น. ไปเป็น 05:40 น. เพราะช่วงกม. ที่ 4-5 ไฟฟ้าแสงสว่างตามทางมีปัญหา อาจจะเกิดอันตรายกับนักวิ่งเพราะเส้นทางจะมืดมาก ก็ว่าไงว่าตามกัน เพราะอากาศดีแบบนี้ คงไม่แย่นักหากจะเลื่อนเวลาปล่อยตัวออกไปเพื่อความปลอดภัย
เอาจริงๆ ก็ปล่อยตัวกันเวลา 05:45 น. ประธานกดแตรลม (แบบกระป๋อง) แล้วนักวิ่งซึ่งรวมๆ แล้วผมว่าไม่เกิน 100 คน หรือไม่เกิน 150 คนด้วยมั้ง (มีนักวิ่งชายหญิงแนวๆ เคนย่ามา 2 คน แล้วก็นักวิ่งต่างชาติผิวขาวชายอีกคน ญี่ปุ่นอีกกลุ่มนึง) ก็วิ่งลอดซุ้ม จากลานจอดรถร้านครัวพ่อกำนันซีฟู๊ดออกสู่ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเลพร้อมๆ กัน จำนวนนักวิ่งแบบนี้ทำให้ทุกคนไม่ต้องเสียเวลาในการไล่แซงคนข้างหน้า เรียกว่าเริ่มต้น เราก็วิ่งสปีดของแต่ละคนได้เลย แบบนี้ชอบ
กิโลเมตรที่ 1-7
จากที่คุยกันกับพี่ชายผมช่วงรอปล่อยตัว ทำให้ทราบว่าความเร็วพี่เค้าจะมากกว่าผมอยู่พอสมควร (มินิมาราธอน ใช้เวลา 53 นาที ส่วนผมราวๆ 56 นาที) เลยกะว่าจะเกาะพี่เค้าไปเรื่อยๆ ดู (ถ้าทำได้) แต่เมื่อผ่าน 4 กม. ไป ก็ไม่สามารถเกาะต่อไปได้ กลัวจะหมดแรงซะก่อน
ช่วง 7 กม. แรกเป็นทางตรงบนนถนน บางขุนเทียน-ชายทะเล ที่มีสะพานข้ามคลองเยอะมากจริงๆ เยอะจนนับไม่ถูก ทำให้ต้องในกำลังมากขึ้น โดยเฉพาะขากลับเห็นแล้วแทบท้อ ผมทำความเร็วในช่วงแรกนี้ได้ต่ำกว่า 5:40 นาที/กม. มีจุดให้บริการน้ำดื่มที่ 4 และ 5.5 กม. (อันหลังสำหรับมินิมาราธอน)
คอสะพานที่ชันพอสมควรแถมมีหลายจุด ทำให้เหนื่อยมากขึ้น โดยเฉพาะขากลับ
สภาพสองข้างทางที่บางช่วงเขียวครึ้ม มองลอดไปเป็นป่าชายเลนหรือบ่อกุ้ง
จากถนนราดยาง เปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีต และมีเศษหินกรวดเล็กๆ ที่ไหล่ทางมากกว่าช่วงแรกที่ผ่านมา ทำให้ต้องระวังมากขึ้น แต่เพราะฟ้าเริ่มสว่าง ทำให้เห็นชัดขึ้น อากาศยังเย็นสบายมากๆ
ผมโฉบน้ำดื่มที่ กม. 9 หลังจากกินเจลซองแรก ที่เริ่มรู้สึกเหนื่อยเพราะใช้ความเร็วเฉลี่ยค่อนข้างสุงกว่าปกติสำหรับระยะทางฮาล์ฟมาราธอน กลัวจะหมดแรงซะก่อน
เมื่อผ่าน 10 กม. ซึ่งมักจะเป็นระยะที่ผมใช้เทียบผลการวิ่งแต่ละครั้ง พบว่าใช้เวลาไปเพียง 56 นาที ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่วางแผนไว้มาก รวมทั้งเมื่อผ่านจุดกลับตัวที่ระยะทาง 11 กม.เศษๆ หน้าที่ทำการ อบต.พันท้ายนรสิงห์ เช็คกำลังและความพร้อม บอกตัวเองได้ว่ายังสดอยู่ จึงพยายามรักษาความเร็วเฉลี่ยไม่เกิน 5:42 นาที/กม. ต่อไป
ช่วงกม. ที่ 7 เมื่อเลี้ยวขวาเพื่อตรงไปยังจุดกลับตัว ผ่านชุมชนและโรงเรียน
จำนวนนักวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่น้อย บวกกับระยะทางไกลขนาดนี้ ทำให้ระยะห่างของแต่ละคนนั้นมากจริงๆ จนบางครั้งเหมือนเราวิ่งอยู่คนเดียวเลย ช่วง กม. 13 ฝรั่งที่ผมแซงมาตอนกม. 9 กลับมาแซงกลับไปแบบชิลๆ สงสัยพี่แกเก็บแรงไว้ช่วงท้ายแน่ๆ เพราะเร็วจริงๆ
ที่ กม. 14 ผมวิ่งสวนกับคุณกล้วยปั่นกับคุณพ่อต้นกล้วยแห่งเพจเรื่องวิ่งเรื่องกล้วย สองนักวิ่งพ่อลูก ที่เห็นตั้งแต่จุดปล่อยตัว ผมยกนิ้วโป้งชูสองมือขึ้นพร้อมตะโกนข้ามถนน "สู้ๆ ครับ สู้ๆ ค๊าบบบ" ด้วยความชื่นชมกับพลังและความตั้งใจของทั้งสองท่าน ผมดีใจที่ได้เห็นทั้งสองท่านบนเส้นทางแข่งขันเดียวกัน หลังจากได้อ่านเรื่องราวมานาน
ผมกินเจลอีกซองที่จุดบริการน้ำดื่ม แถวๆ กม.ที่ 15 ยังบอกตัวเองว่า น่าจะรักษาความเร็วนี้ไว้ได้ และจู่ๆ นักวิ่งที่นำผมมาตลอดคนนึงในระยะ 100-200 เมตร หลังจากดื่มน้ำที่จุดนี้ ก็หยุด แล้วเดินช้าๆ ไปซะงั้น ไม่รู้เพราะอาการบาดเจ็บหรือแรงตก ทำให้ข้างหน้าผมในระยะ 500 เมตร ไม่มีใครเลย (คือคนที่วิ่งเร็ว ก็จะเร็วไปเลย น่าจะยังงั้นมั้ง)
ช่วงกม.ที่ 8 เป็นที่ค่อนข้างโล่งตา อากาศเย็นสบาย ตอนขากลับกม.ที่ 14 เริ่มเห็นดวงอาทิตย์ขึ้น
เลี้ยวซ้ายจากถนนคอนกรีตกลับเข้าถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล แล้วก็นึกถึงคอสะพานอีกไม่รู้กี่จุด การพยายามควบคุมความเร็วเฉลี่ย 5:40 นาที/ชั่วโมงเริ่มยากขึ้น เริ่มเหนื่อยมากขึ้น แต่อากาศยังเย็นสบาย ฟ้าสว่างมากแล้วแต่กลับไม่ร้อนเลย และดีกว่านั้นคือวิ่งตามแสง ไม่แสบตา
แล้วสิ่งที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อนในวันนี้ก็เป็นจริง คือช่วงระยะทางฮาล์ฟมาราธอน (มาตรฐาน) ผมลุ้นมากกว่าจะวิ่งให้ได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งการเร่งสปีด (ที่ทำได้ยากขึ้นมากเพราะความล้า) ทำให้ผมสามารถทำเวลาได้ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงในที่สุด เป็นการเรียกพลังก๊อกสุดท้ายได้อย่างดีจริงๆ
ตอนวิ่งกลับมา มีนักปั่น ทั้งเสือภูเขา และโดยเฉพาะเสือหมอบ มาปั่นซ้อมกันหลายก๊วนมากๆ แถมปั่นกันเร็วจริงๆ มีนักปั่นหลายคนพยักหน้าทักทาย และผมก็ทักทายตอบเช่นกัน ผมว่านี่คือการให้ความเคารพกันในสปิริตของนักกีฬา
กิโลเมตรที่ 21-22.5
แต่ยังไม่จบ ยังเหลืออีก 1.5 กม. ที่ผมต้องกัดฟันวิ่งต่อไป ความรู้สึกที่เท้าทั้งสองตอนนี้คือ เท้าบวมเพราะวิ่งนาน จนทำให้ฝ่าเท้าด้านนิ้วโป้งและนิ้วก้อยทั้งสองข้าง ล้นแผ่นรองพื้นรองเท้า นี่คงเป็นคำตอบอีกอันว่า ผมจะเก็บรองเท้าวิ่ง Brooks PureFlow 2 คู่นี้ไว้สำหรับระยะมินิมาราธอน กับการซ้อมตามปกติ แต่จะใช้ Asics Gel Kayano 19 สำหรับการวิ่งระยะไกล
พอขึ้นคอสะพานอีกแห่ง ผมเห็นพี่ชายผมไกลลิบๆ กำลังจะเข้าเส้นชัยในช่วง 100-200 เมตรสุดท้าย สิ่งที่ผมทำได้คือ พยายามประคองความเร็วนี้ให้ได้จนจบ ผมแซงนักวิ่งระยะมินิมาราธอนอีกหลายคน (คิดว่านะ เพราะเห็นเดินกันหลายคน คงเป็นกลุ่มท้ายๆ) และในที่สุดผมก็ข้ามสะพานสุดท้าย เลี้ยวขวาลอดซุ้มเหยียบพรมแดงเข้าเส้นชัย ด้วยเวลา 2:08:33 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ย 5:43 นาที/กม.
ได้รูปเข้าเส้นชัยเดี่ยวๆ เลยงานนี้ (ขอบคุณโพด ด้วยครับ)
หายเหนื่อย
โพดเดินเข้ามาบอกตอนผมเริ่มยืดเหยียดว่าปุ้มได้ถ้วยอันดับ 3 !!! เป็นข่าวดีของกลุ่มพวกเรา เพราะตอนแรกไม่รู้ด้วยว่าโพดกับปุ้มมาวิ่งรายการนี้ด้วยกัน เพราะตอนปล่อยตัวเจอกันแค่สองคนกับพี่ชายผม
รับเหรียญ รับถ้วย แล้วก็ต้องเก็บภาพที่ระลึกกันหน่อย
เราไปช่วยกันถ่ายรูปปุ้มรับถ้วย แสดงความยินดี แล้วกลับมาหาของกินต่อด้วยความหิว ตอนนั้นแดดเริ่มร้อนแล้วด้วย
ดีใจที่เจอปุ้มกับโพดในงานนี้ ถ้วยอย่างสวยเลยด้วย
อาหารการกิน สมบูรณ์จริงๆ
ความประทับใจจากงานนี้อีกอันนึง ที่จะเว้นไม่บันทึกไว้คงไม่ได้ ก็คือตอนที่ผมกินอะไรจนเกือบครบแล้ว ก็เลยอยากกินไอติม เดินมาที่ถึงไอติมที่ชมรมสวนธนเอามาสนับสนุนงาน เห็นพี่เค้ากำลังขูดๆ ถังอยู่ ก็เลยยืนรอ แต่กลายเป็นว่าพอเค้าเงยหน้ามา แล้วได้สื่อสารกันถึงทราบว่าพี่เค้าจะขูดที่เหลือติดก้นถังทานเอง ผมรีบขอโทษขอโพย แต่กลับไม่จบแค่นั้น พี่นักวิ่งท่านนั้นบอกว่า มายืนรอแล้วต้องได้กิน!!! เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ตรงนั้นที่ผมประทับใจมากๆ กับน้ำใจของนักวิ่งสู่นักวิ่งด้วยกัน
ใครที่จะไปวิ่งโดยไม่มีกลุ่มไม่มีเพื่อน ผมบอกได้เลยว่าไม่ต้องกลัวอดหรือไม่มีคนคุยด้วย ขอให้เรายิ้มเข้าไว้ รับรองวิ่งครึ่งปีจะมีเพื่อนมากขึ้นเป็นร้อยคน
ชมรมวิ่งสวนธน สนับสนุนไอสครีม และใจดีมากๆ
กลับมาที่คอนโด ผมแช่ขาและน่องในน้ำเย็น ใส่น้ำแข็ง 3 ถุง เพื่อลดอาการบาดเจ็บและช่วยให้สบายเท้า และทำแบบนี้ทุกครั้งในการซ้อมวิ่งยาว หรือระยะฮาล์ฟมาราธอนขึ้นไป ระยะเวลาในการแช่เท้าก็ประมาณ 15-20 นาที จากที่อ่านหลายๆ แหล่งบอกว่า ถ้านานกว่านั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรแล้ว แต่อาจจะสบายเท้าดีเหมือนกัน
แช่น่องในถังแกลลอนสี ความจุกำลังดี ถ้าใส่เฮลส์บลูบอยสีแดง กับเอาหลอดจิ้มดูดได้ คงทำไปแล้ว!!!!
จากรายการวิ่งที่ระยะ 22.5 กม. ตรงกับระยะซ้อม ที่เราไม่ต้องเหงาวิ่งคนเดียวในสวนลุม กลายเป็นรายการที่ประทับใจมากๆ อีกรายการหนึ่ง ได้เจอพี่ชายที่ไม่เคยวิ่งด้วยกันมาก่อน ได้เจอสมาชิกในกลุ่มที่ได้ถ้วยเป็นครั้งแรก ได้เห็นน้ำใจของนักวิ่งชมรมสวนธน และได้สถิติฮาล์ฟมาราธอนต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ภายในปีแรกของการวิ่งอีกด้วย
No comments:
Post a Comment