ยังจำได้ว่าตอนเริ่มวิ่งรายการครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว
คือ 6th Cancer Care Charity Fun Run ซึ่งเป็นงานที่จัดวันเสาร์ มีน้องๆ
ในชมรมวิ่งคนเก่งน้าดอนหลายคนบอกว่า วิ่งแค่ 5 กม. (2 รอบสวนลุม) พอ
เพราะวันต่อไปมีงาน BITEC Half Marathon 2013
ก็เลยคิดว่า
ไว้คงจะได้วิ่งที่งานไบเทคกะเค้ามั่ง เพราะหลังจากนั้นก็ได้กระแสตอบรับดี ได้ข่าวว่าจัดงานดี
ปิดถนนดี ที่จอดรถเยอะ (ก็น่าจะยังงั้นนะ เพราะเป็นถึงศูนย์การประชุม
หรือศูนย์แสดงสินค้าระดับประเทศ)
กราฟิกประชาสัมพันธ์ รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้มูลนิธิเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก
ปีนี้พอได้ข่าวจากเว็บ PatRunning กับ Jog & Joy ก็เลยไม่ลังเลที่จะสมัคร (และได้รับเมล์ยืนยัน)
ตั้งแต่ก่อนไปวิ่งมาราธอนที่จอมบึงอีก แต่จะวิ่งฮาล์ฟเลยดีกว่า
เพราะเส้นทางน่าจะดี แล้วก็สมัครระยะมินิมาราธอนให้เจ้าเมฆด้วย
การเตรียมงานพร้อมตั้งแต่วันเสาร์ และป้ายประชาสัมพันธ์อลังการ
ทางผู้จัดงาน ให้ไปรับเบอร์
เสื้อ และอื่นๆ (เรียกรวมๆ ว่า Race Kit) ในช่วงวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ แต่ด้วยระยะทางจากที่ทำงานไปไบเทคไม่ใช่ใกล้ๆ
แล้วก็ไม่ได้ขับรถมาทำงาน เลยคิดว่าไปวันเสาร์ดีกว่า รถไม่น่าจะติดมากด้วย
พอไปถึงที่ไบเทคก็สะดุดตาด้วยป้ายประกาศสวยงามตรงทางเข้าหลัก
และที่ตัวอาคาร รวมทั้งซุ้มสตาร์ทและเส้นชัย ก็เสร็จเรียบร้อย
เหลือแต่เวทีหลักที่ยังเห็นประกอบกันอยู่ ส่วนเจ้าหน้าที่ รปภ.
ก็คงได้รับข้อมูลมาพร้อม เพราะทุกคนแนะนำได้ชัดเจนว่า บู๊ทรับของอยู่ที่ไหน
ตรวจสอบหมายเลข และรับ Race Kit แบบสบายๆ และรวดเร็ว
ใช้เวลารับของแป๊บเดียว คนน้อยมาก ดูด้วยสายตาเดาว่าคงรับกันไปเยอะตั้งแต่สองวันแรกแล้ว สิ่งที่ต้องชมทีมงาน Joy & Joy อีกครั้งคือ เบอร์วิ่ง (BIB) ทำได้สวยงาม มีพิมพ์ธงชาติของนักวิ่ง และมีชื่อนามสกุล และครั้งนี้อีกเช่นกันที่ชิพจับเวลา เป็นแถบติดอยู่ด้านหลังของ BIB ซึ่งต่างจากของ Championchip ที่จะติดไว้ที่เชือกรองเท้า
ชุดเก่งสำหรับรายการนี้ มาในธีมสีฟ้า ต้อนรับรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ Brooks PureFlow 3
คืนก่อนวิ่ง
ก็บอกเจ้าเมฆให้เข้านอนเร็วหน่อย เพราะต้องตื่นกันตั้งแต่ตี 3 นิดๆ
เพื่อที่จะกินมื้อเช้ารองท้อง และเพื่อจะได้ไปทันเวลาปล่อยตัวสำหรับระยะฮาล์ฟ
ตื่นเช้า
ทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ เมฆกินขนมปังทาเนยถั่ว 2 แผ่น กล้วยหอม 1 ลูกโตๆ
และโกโก้ร้อน ส่วนผมขนมปัง 2 แผ่น กับ Bake Bean ตามด้วยกาแฟร้อน 1 แก้ว กับกล้วยหอมอีกลูก เราออกจากบ้านตามเวลา
และไปถึงไบเทค จอดรถเรียบร้อยตั้งแต่ 4:20 น.
บรรยากาศตอนมาถึง มีนักวิ่งเริ่มวอล์มในโถงใหญ่ อากาศเย็นสบายไม่อบอ้าว
ที่งานเริ่มคึกคักแล้ว
มีการแสดงบนเวที เป็นการโซว์กลองซินธิไซเซอร์ นักวิ่งก็มากันหลายร้อยคนแล้ว
บางส่วนเริ่มวอล์มกันในโถงของอาคารใหญ่ ห้องน้ำก็มีพอเพียง
ผมเริ่มจ๊อกและยืดเหยียดตอน
4:40 น. ยังไม่ทันเครื่องร้อนดี
พิธีกรก็เรียกเข้าเช็คอิน สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน มีนักวิ่งราวๆ 700 คน
(ตามประกาศ) ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่เจ้าเมฆต้องวิ่งมินิคนเดียว
ไม่มีพ่อคอยแนะนำ แต่เชื่อว่าจากประสบการณ์มินิ 6-7 งานมาแล้ว
ก็น่าจะสามารถวิ่งตามแผนได้ไม่ยาก
ช่วงไม่ถึงนาทีก่อนปล่อยตัว
เรายืนอยู่ในคอกปล่อยตัวเกือบ
10 นาที ผมยืนอยู่ช่วงกลางๆ ค่อนไปทางท้ายของกลุ่มนักวิ่ง
ไม่เคยยืนข้างหน้าเหมือนกัน กลัวขวางพวกขาแรง แล้วก่อนเสียงแตรลมปล่อยตัวดังสักครึ่งนาที
มีการตีกลองแบบจีนจากน้องๆ ที่ทีมงานเตรียมกันมา ทำให้คึกคักดี แล้วก็ได้สัญญาณปล่อยตัว
ได้เวลาสนุกอีกแล้วสิ!
ปล่อยตัวกันแล้ว ตี 5 ตรงเป๊ะ (ขอบคุณภาพจากน้าแพท PatRunning)
กดปุ่ม Run บน app
Nike+ Running เรียบร้อยตอนผ่านซุ้มปล่อยตัว
แล้วกดนาฬิกาเริ่มจับเวลา แต่พอวิ่งไปสัก 100 กว่าเมตรเริ่มเอะใจ เพราะลืมไปว่า
ตอนที่มันหาดาวเทียมไม่เจอ เราไปกดบอกว่าเราอยู่ในร่ม Indoor มันก็เลยไม่จับสัญญาณเลย แล้วก็เพราะยังไม่คุ้นวิธีใช้งาน (ขี้เกียจ
ว่างั้นเหอะ) เลยใช้วิธีปิดแล้วเปิดใหม่ กว่าเจ้า Garmin จะยืนยันรับสัญญาณได้และกดเริ่มวิ่ง
ก็วิ่งไป 750 เมตรละ ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องวิ่งขึ้นสะพานเกือกม้ากลับรถพอดี
ตอนนี้ทุกคนยังแรงเยอะ ไม่เห็นมีใครเดิน พอวิ่งถึงช่วงลงสะพาน
หลายคนเร่งสปีดกันใหญ่ ส่วนผมขอวิ่งตามถนัด คือวิ่งเพสเดียวให้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
เพราะบอกตัวเองว่ายังไม่หายสนิทจากอาการเจ็บหน้าแข้งซ้าย ที่เดิม
ที่เกิดในช่วงท้ายของการซ้อมก่อนจอมบึงมาราธอน และเจ็บจริงตอนจบจอมบึงมาราธอน
ผมนึกว่าเราจะกลับตัวแล้ววิ่งที่ถนนเลียบเส้นทางหลัก
แต่กลายเป็นว่า เค้าปิดถนนขาออกของเส้นหลัก บางนา-ตราด กันเลย เรามีถนนกว้าง 6 เลน
วิ่งแบบไม่มีรถแม้แต่คันเดียว นี่มันสวรรค์ชัดๆ
ผ่านไปราวๆ 2 กม.
กลุ่มนักวิ่งก็เริ่มวิ่งตามเพสตัวเองแล้ว จะมีแซงคนอื่นบ้างหรือโดนแซงบ้างประปราย
เพสผมตอนนั้นอยู่ราวๆ 5:20 นาที/กม. ยังถือว่าเร็วไปหน่อย
สำหรับสภาพที่ไม่ได้ซ้อมวิ่งเลย 3 สัปดาห์ และมีอาการบาดเจ็บ
แต่ก็ปั่นจักรยานเพื่อเรียกเหงื่อมาตลอดในช่วงสองสัปดาห์หลัง
ผมแวะจุดบริการน้ำดื่มทุกจุด ซึ่งมีบริการทุก
2 กม. ต้องชมว่างานนี้ผู้จัดเตรียมได้ดี ระยะใน Nike+ Running กับป้ายบอกระยะเริ่มเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ได้
นั่นก็เพราะเราวิ่งกันใต้ทางยกระดับเกือบตลอดเวลา
ที่ 8 กม. เห็นรถนำขบวนวิ่งสวนมา ตามด้วยนักวิ่งเคนย่า
2 คน สาวเท้ายาวๆ ไล่กันสวนกลับมาแล้ว กับนักวิ่งเคนย่าอีกคนในระยะห่างกันราว 20
เมตร ผมมั่นใจว่า พวกนี้ถ้าไม่หิวข้าวก็อยากเข้าห้องน้ำ ถึงได้รีบวิ่งกันนัก
วิ่งบนถนนตรงๆ ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก แต่ดีที่ไม่ต้องห่วงเรื่องรถ
และอากาศดีกว่าวิ่งในเมืองอย่างที่สวนลุม ทำให้ 10 กม. แรกผ่านไปแบบสบายๆ
ที่ความเร็วเฉลี่ยมาอยู่ที่ 5:40 นาที/กม. ซึ่งไม่เร็วหรือช้าไป
แถวนักวิ่งแปรขบวนออกตรงทางแยกเพื่อขึ้นสะพานกลับรถอีกครั้ง
หลายคนเริ่มเดินขึ้นเพื่อเก็บแรง ส่วนผมยังวิ่งขึ้นไปได้จนถึงปลายสุด
เครื่องเกือบฮีทเหมือนกัน 5555 แล้วเราก็แยกออกซ้ายเพื่อวิ่งลงสะพานเข้าไปในอิเกีย
ยังจำได้ว่าตอนมาครั้งล่าสุด เมกะบางนายังสร้างไม่เสร็จด้วยซ้ำไป ทางลงค่อนข้างชัน
ถ้าใครก้าวเท้ายาวคงมีเข่าพันกันแน่ๆ เลยมีแต่คนก้าวสั้นๆ ลงสะพานกัน
อากาศแถวนี้ดีขึ้นกว่าเดิมเพราะเป็นพื้นที่โล่ง
นักวิ่งขาแรงกลุ่มแรกๆ เริ่มวิ่งกลับสวนออกมายเยอะแล้ว บอกตัวเองว่า
เราวิ่งสปีดนี้สบายดี ไม่อยากเจ็บจนต้องเดิน จนมาถึงจุดกลับตัว
เจ้าหน้าที่โบกให้วิ่งผ่านเครื่องเช็คเวลา ที่งงคือ
มีแจกยางหนังสติ๊กที่ผูกด้ายสีไว้อีกเหมือนงานวิ่งเล็กๆ เพราะจริงๆ
วิ่งผ่านเครื่องบันทึกเวลาแล้ว ก็ไม่น่าจะมาแจกยางหนังสติ๊กอีก
ที่จุดกลับตัว มีน้ำ มีเครื่องดื่มเกลือแร่
มีกล้วยน้ำว้าที่ปอกไว้เรียบร้อยเรียงสวยงาม และมีแตงโมที่หวานฉ่ำมาก
เสียดายผมหยิบแตงโมชิ้นเดียว แล้วเดินตรงไปหยิบน้ำดื่มเลย
แต่ปกติก็ไม่ค่อยยืนกินอะไรที่จุดบริการน้ำนานๆ อยู่แล้ว
จากนั้นทิ้งแก้วกับยางหนังสติ๊กในถุงดำ แล้วก็ออกวิ่งกลับ
ช่วงวิ่งขึ้นสะพานกลับรถเจอนักวิ่งกลุ่มหลังตามมาเยอะเลย
คิดในใจว่า ถ้าวิ่งความเร็วนี้ผลออกมาก็คงอยู่ในช่วง 200-300 คนแรก หรือราวๆ กลุ่ม
30-50% เหมือนทุกงาน หน้าแข้งขวาเริ่มเจ็บมากขึ้น บอกตัวเองให้พยายามนึกถึงเรื่องอื่นๆ
และใช้สมาธิกับการฟังเพลง ทิ่เปิดเพลงของ T-Square มาตั้งแต่ก่อนปล่อยตัว
ช่วงกม. 12-15 สามารถรักษาความเร็วไว้ได้ดี
ไม่เร่งและไม่ผ่อน จังหวะหายใจปกติไม่เหนื่อยหอบ
และมีแรงมากขึ้นเมื่อวิ่งมาเจอกับนักวิ่งระยะมินิมาราธอนกลุ่มหลังๆ
ที่เกือบทุกคนจะเดินมากกว่าวิ่ง
จากช่วงกม. 16-20 พยายามมองกลุ่มนักวิ่งฮาล์ฟ
ที่เพสใกล้ๆ กัน แต่อยู่ห่างกันหลายสิบเมตร แทรกอยู่ในกลุ่มคนที่เดินคุยกันสบายๆ
หลายร้อยคน แต่ไม่ได้ขวางทาง เพราะว่าถนนกว้างมากๆ พยายามรักษาความเร็วให้ได้คงที่
ฟังเสียงจาก Nike+ Running บอกความเร็วเฉลี่ย
ถือว่ายังทำได้ดี ต้องชมเชยผู้จัดงานอีกครั้งว่า
น้ำดื่มที่จุดสุดท้ายยังมีเหลือเฟือ แม้น้ำแข็งจะหมดก็ตาม
ช่วงท้ายๆ เหนื่อย ไม่ทันสังเกตใคร แจงเก็บภาพนี้มาให้ก่อนขึ้นสะพานเกือบม้ากลับตัวเข้าไบเทค
ช่วงสุดท้าย กลับตัวและวิ่งขึ้นสะพาน
ตอนนี้รู้ตัวว่าความฟิตจากการซ้อมช่วงก่อนหน้านั้น หมดแล้ว
เพราะเมื่อยต้นขาจนรู้สึกได้ แต่ก็ยังวิ่งช้าๆ
ขึ้นสะพานได้จนถึงโค้งและเนินทางลงสะพาน พยายามวิ่งทางซ้ายสุด
เพราะกลุ่มคนเดินหลายร้อยคนอยู่ฝั่งขวากันหมด
วิ่งลงสะพานช้าๆ
และดูจังหวะที่เจ้าหน้าที่ปล่อยรถจากเส้นเลียบทางด่วน แต่การจัดการเค้าดีนะ
พอช่วงปล่อยรถ ก็จะให้เราวิ่งยาวตรงๆ ไปก่อน แล้วค่อยวิ่งตัดข้ามถนนเป็นชุดใหญ่ๆ
พร้อมๆ กัน ไม่เสียเวลาเหมือนตอนรอข้ามสี่แยกในหลายๆ งาน
วิ่งเข้าไบเทค เห็นโปรรุจน์ตรงปากประตูพอดี
เลยฉีกตัวออกทางขวา ก็คงได้ภาพดีๆ มาให้อุดหนุนกันอีกแน่ๆ ก่อนจะเร่งความเร็วในช่วงราวๆ
100 เมตรสุดท้าย เหยียบพรมแดง เข้าเส้นชัย กดหยุดเวลาที่นาฬิกา
กระดาษรายงานผลที่น้องเจ้าหน้าที่ส่งมาให้ เข้าท่าดี วิ่งจบรู้เลย
สตาฟมาแกะชิพจับเวลาออกจากเบอร์ รับเหรียญทอง
แล้วก็มัวสาละวนกับการหยุดเวลาใน Nike+ Running ไม่ทันมองว่ามีน้องสตาฟมายืนดัก ยื่นแผ่นกระดาษที่ดูเหมือนใบเสร็จให้
เล็งอยู่นานเพราะสายตายาวถึงรู้ว่าได้ผลการแข่งขันเดี๋ยวนั้นเลย บ๊ะ! เข้าท่าดี นึกๆ อยู่ว่า ถ้านักวิ่งระยะฮาล์ฟเข้าพร้อมกันหลายๆ คน
เค้าจะพิมพ์และแจกผลกันทันหรือเปล่า (มาทราบทีหลังว่าไม่ทัน
แล้วนักวิ่งก็ไม่รู้ด้วยว่ามีแจก เดินเลยกันไปหลายคน)
พ่อกับลูก เก็บได้อีกคนละเหรียญ ได้ช่วยการกุศล และได้สุขภาพ
เดินไปรับเครื่องดื่มเกลือแร่กับขาเขียวอีกขวด
(ครั้งนี้พกเจลไป 2 ซอง แต่ไม่ได้ใช้) ต่อด้วยยืดเหยียดช่วงขาและน่องที่ตึงใช้ได้เลย
หน้าแข้งซ้ายเจ็บกว่าเดิมแต่ยังเดินได้เกือบปกติ ผมกวาดตามองรอบๆ
ก็เจอเจ้าเมฆยืนอยู่ไม่ไกล เข้าไปกอดไหล่ลูกและถามผลการวิ่ง
เมฆทำได้ดีกว่าที่ผ่านๆ มา แต่ก็ยังไม่พอที่จะคว้าถ้วยสักใบ
แม้จะมีนักวิ่งรุ่นอายุเดียวกันเพียง 9 คนก็ตาม ส่วนเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง
กินมาหมดเกือบทุกซุ้มแล้ว!!!
อากาศยังไม่ร้อนมาก ถ่ายรูปสวย
หลังจากต่อแถวรับข้าวไก่เทอริยากิอร่อยๆ และดูการรับถ้วย
จึงได้เห็นว่าเจ้าตัวเล็กๆ รุ่นอายุเดียวกันกับเมฆนั้น เป็นเด็กๆ สังกัดชมรมวิ่ง
ทุกคน คงจะแนวๆ ล่ารางวัลแน่ๆ
บรรยากาศเวทีกับการมอบรางวัล งานนี้อาหารเครื่องดื่มเพียบเลย ผมเลือกข้าวไก่เทอริยากิ อร่อย
งานนี้เจอน้องๆ หลายคน ทั้งจากชมรมวิ่งคนเก่งน้าดอน
ตั้งแต่ตอนเข้าเส้นชัย และนุกกับแจง น้องที่รู้จักสนิทกันกันมาทักทายและคุยกันพักใหญ่ช่วงกินข้าว (จะเชียร์ไปมาราธอนให้ได้เลยสองคนนี้) และแนม ที่มาเจอกันตอนกำลังจะกลับบ้าน จริงๆ งานนี้มีเพื่อนๆ
นักวิ่งที่เป็นเพื่อนใน FB หลายคนที่มาวิ่ง
แต่ไม่เคยเห็นตัวจริงกันเลยไม่คุ้นหน้า อีกหน่อยคงได้ทักทายกันทั้งงาน 5555
นุกกับแจง ในที่สุดก็เจอน้องสองคนนี้ในงานวิ่ง อีกภาพคือแนม เจอกันเกือบทุกงาน
สรุปแล้วงานนี้จัดได้ดีสมราคา ที่จอดรถ
การรับเบอร์ BIB สวย ปล่อยตัวตรงเวลา นักวิ่งเยอะ
การบริการน้ำ เครื่องดื่ม และผลไม้พอเพียงทุกจุด เส้นทางดี การปิดถนนดีเยี่ยม
ถ้าจะมีข้อแนะนำ
คิดว่าอาจจะสามารถรับจำนวนนักวิ่งได้เพิ่มขึ้นอีกเหมือนที่พิธิกรก็เกริ่นๆ
ไว้เหมือนกัน เพราะอาจจะลดราคาค่าสมัครลงมาได้อีกสักหน่อยนะ
สถิติของรายการนี้ วิ่งจบระยะทาง 21.8 กม. ด้วยเวลา 2:07:25 ชั่วโมง (Net Time) (2:07:43 ชั่วโมง Gun Time) ความเร็วเฉลี่ย 5:52 นาที/กม. ได้อันดับ 57 ของรุ่นอายุ 40-49 ปี (ชาย) และได้อันดับ 206 จาก 623 (Overall)
ถือว่าได้เวลาตามมาตรฐานของตัวเอง ไม่เร็วและไม่ช้าเกินไป เพราะคิดไว้ก่อนวิ่งว่า จะจบก่อนเวลา 2:08 ชั่วโมง